วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประสบการณ์ 4 เดือน กับ Macbook 12"



ผมใช้ Windows มาตั้งแต่ win 3.11 จนถึง win 7 มาเปลี่ยนเป็น mac ตั้งแต่เมื่อ 6 - 7 ปีก่อน ใช้ macbook pro 13 นิ้ว เปลี่ยนมา 2 เครื่อง ล่าสุดวันนี้ ผมใช้ macbook 12 นิ้ว ลองมาดูกันนะครับว่า 4 เดือนที่ใช้มา เป็นอย่างไรบ้าง

เดิมใช้ MBP 13" ปี 12 รุ่น HD 750 GB อยู่ครับ รู้สึกว่ามันช้ามาก โดยเฉพาะเวลาปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ ช้าจนหลับได้เป็นตื่นเลยกว่าเครื่องจะพร้อมให้ทำงาน

ตอนแรกคิดว่าจะ Upgrade เป็น SSD ครับ ดูราคาแล้วก็ประมาณหมื่นกว่า ๆ ได้สัก 512 GB ก็ยังดี เก็บเงินไว้จนพร้อมกะว่าจะเปลี่ยนซะทีละ เพราะเห็นรีวิวกันในเวปต่าง ๆ แล้วว่ามันเร็วขึ้นเยอะ แค่เปลี่ยน HD เป็น SSD แล้วถอดเอา HD เดิมมาใส่ในช่องที่เป็น DVD ถอด DVD ทิ้งไป ใช้ SSD เป็น HD หลัก ใช้ HD เก่าเป็น EXT HD (เขียนแล้วอ่านเองยังงง 555)

ต้องเล่าก่อนเล็กน้อยนะครับว่า ทำไมผมหันมาใช้ MAC จากเดิมที่ใช้ Windows มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ตอนนั้นเริ่มตั้งแต่ Windows 3.1 เลยทีเดียว จนเครื่อง Notebook ล่าสุดก็เป็น Windows 7

สั้น ๆ นะครับ คือมันเสถียรกว่า, ไม่ค่อยแฮงค์, ไม่ค่อยมีไวรัสกวนใจ, เวลาใช้งานเชื่อถือได้ไม่ติดขัด, Software ต่าง ๆ ใช้งานง่าย เรียนรู้ง่าย .....ข้อดีสุด ๆ ที่มัดผมไว้กับ Apple คือระบบ Apple Account มันสมบูรณ์แบบ อุปกรณ์ของ Apple ทุกอันเช่น Macbook, iPad, iPhone, Apple TV และอื่น ๆ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน Apple ID Account เมื่อใดที่ผมเปลี่ยนอุปกรณ์ นำมา Restore จาก Backup ตัวเดิมใช้งานต่อเนื่องได้ทันที ระบบ Cloud ที่เชื่อมข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ ที่เราใส่ข้อมูลไว้ที่เครื่องหนึ่ง สามารถเปิดใช้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้เลยเพราะมันเชื่อมเข้าหากัน แค่มีพื้นที่ใน iCloud สัก 50 GB เสียเงินรายเดือนแค่ 35 บาทเท่านั้นเอง

ผมอยากเปรียบเทียบให้ดูระหว่าง Mac กับ Windows ง่าย ๆ เรื่องเดียวที่ต่างกันมาก ๆ คือ เรื่องการ Format เครื่องเพื่อติดตั้ง OS ใหม่ แล้วลงโปรแกรม กับข้อมูลงานใน HD ใหม่

เอาฝั่ง Mac นะครับ คือเมื่อผมได้เครื่องใหม่มา ผมแค่

  • ล้าง HD
  • ลง Mac OS ล่าสุดใส่รหัส Apple ID ของตัวเอง (ฟรี และให้ Update ฟรีตลอด ใช้ ID ของเราติดตั้งกี่เครื่องก็ได้)
  • เสียบ HD ที่ทำ Backup แล้วสุดท้ายก็ Restore ข้อมูล ทั้งโปรแกรมเดิม และข้อมูลในเครื่องที่มีอยู่เดิมมาใส่ในเครื่องใหม่ แป๊บเดียวเสร็จ (ไม่ถึงครึ่งวันกับข้อมูลในเนื้อที่ 400 กว่า GB)


แต่เทียบกับฝั่ง Windows นะครับ สิ่งที่ผมต้องทำคือ

  • ล้าง HD
  • ลง Windows .....ไม่ฟรีต้องซื้อ ใส่ได้ครั้งเดียว หรือจำกัดการติดตั้งแล้วแต่ราคา
  • ลง Drivers ให้ตรงกับเครื่องยี่ห้อของเรา .....Mac ไม่ต้องทำ
  • ลง Anti Virus, Anti Maleware .....Mac ไม่ต้องทำ
  • Update Windows เสียเวลาทั้งวัน ..... Mac ไม่ต้องทำ (น่ารำคาญที่สุดคือ มันจะให้ ปิด ๆ เปิด ๆ ทั้งวันเช่นกัน ทิ้งเครื่องหนีไปนอนเล่นก็ไม่ได้ และทุกครั้งที่มีการ Update windows เครื่องมันก็จะสั่งให้ปิด ๆ เปิด ๆ อยู่เรื่อย ๆ บางทีเราทำงานเสร็จ แต่เครื่องมันดาวน์โหลดตัว Update มา มันก็บังคับให้เรารอ และสั่งห้ามไม่ให้ปิดเครื่อง อัพเดทบางตัวต้องปิด ๆ เปิด ๆ 3 - 4 ครั้ง
  • Update Anti Virus หลายนาที .....Mac ไม่ต้องทำ
  • ติดตั้ง Software ทีละตัว .....หลายตัวต้อง crack เพราะมันแพงมากซื้อไม่ไหว
  • Copy ไฟล์ข้อมูลมาใส่ใน HD
  • จากนั้นในระหว่างใช้งาน Windows สิ่งที่ต้องทำรายวันคือ update ทั้ง windows และ anti virus ทำ scan virus, ทำ clean-up harddisk และเวลามีคนเอา ext drive มาเสียบก็ต้องคอย scan ทั้งหมดนี้ Mac ไม่ต้องทำ !!!! และที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือ ทำทุกอย่างแล้ว มันยังแฮ้งค์ เป็นระยะ ๆ ประมาณสองสามวันครั้ง โมโหมากตอนปิดเครื่องมันดาวน์โหลด update มา แล้วมาห้ามปิดเครื่อง.....ฯลฯ (ไม่ให้ปิดแล้วจะกลับบ้านยังไง?)
เท่าที่จำได้นะครับ และเท่าที่ทำใน Windows 7 ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่า Windows เวอร์ชั่นหลังจากนั้นเขาทำกันยังไง แต่ตอนนั้น สองสามวัน เครื่องยังไม่เข้าที่ให้ใช้งานเลย....อันนี้ผมไม่ไปเทียบกับคนที่ให้คนขาย Format ลง Windows มาให้นะครับ เพราะการไปจ้างเขาทำ คุณจะไม่ได้ Windows ที่ Update และบางทีไม่ได้โปรแกรมต่าง ๆ สำหรับดูแลระบบ เช่น Anti Virus หรือตัว Cleaning ต่าง ๆ

เอาเป็นว่า ผมจะไม่กลับไป Windows อีกเด็ดขาด

กลับมาพูดถึง Macbook 12 นิ้ว ที่ผมซื้อมานะครับ ก่อนอื่นทำไมตัดสินใจซื้อแทนที่จะ Upgrade คำตอบคือ ราคามันพอ ๆ กัน ....เมื่อผมซื้อมือสอง จากร้านที่เชื่อถือ และเอา Macbook Pro ตัวเก่า ตีราคารวมกับเงินหมื่นกว่าบาท กับ Apple TV ตัวใหม่ที่ผมเพิ่งได้มา (ผมมี Apple TV 2 ตัว) พูดง่าย ๆ รวบรวมทรัพย์สมบัติ กับเงินที่มี ไปถอยเจ้าตัวบางนี่มา แทนที่จะใช้เงินหมื่นกว่าบาท Upgrade HD เป็น SSD 

ตั้งแต่วันแรกที่ผมเอามันมาใช้ ผมก็รู้ทันที่ว่า ผมคิดถูกมาก ๆ .....เหตุผลทีละข้อละกัน


ข้อ 1 มันเบา และบางมากกกก (เสียงสูง) น้ำหนักไม่ถึงโล (0.92 กก) จากเดิมที่ผมแบกสองกิโลกว่า เลยคิดว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปมากเลย เมื่อก่อนผมไม่ค่อยพกเจ้า 13" ออกนอกบ้าน ยกเว้นไปพรีเซ็นท์งาน เดี๋ยวนี้ออกจากบ้านเมื่อไหร่ มันจะติดอยู่ในกระเป๋าสะพาย ที่แบน ๆ เบา ๆ นั่งที่ไหน ก็ทำงานที่นั่น



ข้อ 2 จอ 12 นิ้ว แต่ความละเอียดสูง 2,304 x 1,440 เทียบกับจอ MBP 13" ตัวเก่าผมแค่ 1,920 x 1,080 (เล็กกว่า 1 นิ้ว แต่ละเอียดกว่า) เป็นเรติน่าแบบ LED เลยไม่รู้สึกว่ามันเล็กลงแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับรู้สึกว่าสบายตา, ทำงานได้สะดวกกว่า เพราะจำนวนพิกเซลมากกว่า แม้ว่าจอภาพจะเล็กกว่าหน่อย แต่เหมือนได้พื้นที่ ทำงานเพิ่มขึ้น




ข้อ 3 แป้นพิมพ์ใหม่ บางเจี๊ยบ เห็นตอนแรกที่ iStudio ตอนมันออกมาใหม่ ๆ ก็คิดว่าคงพิมพ์ไม่สะดวก แต่พอได้ลองพิมพ์วันนั้น กลับรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ถึงกับว่าพิมพ์ดีกว่า แต่มันเป็น "ความใหม่" ไม่ใช่ใหม่ดีกว่า แต่แค่ "ใหม่กว่า" มันแปลก ๆ ออกไปจากความรู้สึกจำเจเดิม ๆ


ผมเป็นคนที่ใช้แป้นพิมพ์แบบ "พิมพ์สัมผัส" คือพิมพ์แบบไม่ต้องมองแป้น การเปลี่ยนแป้นพิมพ์แบบบาง ๆ แต่ก็ยังเป็นปุ่มสัมผัสได้ จึงไม่เป็นปัญหา แต่จากการใช้งานผมจำเป็นต้อง "ตัดเล็บ" ให้สั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากที่นาน ๆ จะตัดเล็บที เดี๋ยวนี้ผมต้องดูแลเล็บมือตัวเองทุกวัน ....ดีเหมือนกัน

ข้อ 4 เรื่องแบตฯ ก็ไม่มีอะไรมากครับ มันทนอย่างที่เขาเคลมนั่นแหละ ดีกว่าตอนผมใช้เครื่องเก่าเยอะ เพียงแต่ยังไม่เคยลองจับเวลาจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้นเอง



ข้อ 5 อุณหภูมิ ไม่ร้อนเท่าเครื่องเก่าที่ผมใช้ เพราะตัวเครื่องมันมีแผงวงจรทั้งหมดนิดเดียว ผมเห็นในรูปแล้วยังตกใจเลยว่า "มันมีแค่นี้เองหรือ?" คือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเครื่องมันเป็นแบตฯ ครับ ดูเอาละกัน




ทั้งหมดอยู่ในบอร์ดเล็ก ๆ ที่เห็น มันเลยไม่ร้อน และไม่มีช่องระบายความร้อนด้วย ผมเลยเอาไปนอนเล่นบนที่นอนได้สบาย ๆ เอาหมอนรอง (เมื่อก่อนไม่กล้าเพราะมันต้องระบายอากาศด้านล่าง) ข้อดีที่ตามมาคือมันเลยเงียบกริบ ไม่มีเสียงพัดลมอื้อ ๆ เป็นระยะ ๆ รู้สึกดีจัง

ข้อ 6 Trackpad ที่ใหญ่ขึ้น และมีฟังชั่นเพิ่มขึ้นอย่าง Force Thouch (ตั้งน้ำหนักได้ และกดลึกกว่าเดิมอีกชั้นหนึ่งได้ ขอให้ไปหาข้อมูลดูนะครับ) ส่วนตัวผมยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ ชอบอย่างเดียวคือมันใหญ่ดี


ข้อ 7 ระบบเสียง เป็นสิ่งที่ผมชอบเป็นพิเศษ ผมเลิกใช้ลำโพงนอก (ยี่ห้อ Boston ที่ใช้มา 20 ปี) ไปเลยครับ เพราะมันไม่จำเป็นอีกแล้ว ผมใช้แต่เสียงที่มากับเครื่อง มันเป็นระบบ Stero ที่ดังสนั่นเกินตัว แยกมิติเสียงซ้ายขวาได้แบบไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ยกนิ้วให้เลยครับ เอาใจไปเต็ม ๆ




ข้อ 8 ความเร็วของการเปิด-ปิด เครื่อง และความเร็วในการประมวลผลต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อมาใช้ SSD แล้ว ก็คงไม่กลับไปใช้ HD อีก เพราะเหมือนขับรถยนต์แล้วคงไม่ไปขี่เกวียนอีกนั่นแหละ สำหรับตัวโปรเซสเซอร์นั้นเป็น Intel Core M ซึ่งเหมาะสำหรับเครื่องเล็ก ไม่มีการ์ดจอ (ไม่เหมาะเล่นเกมส์ และการประมวลผลการ์ฟิคหนัก ๆ) สำหรับผมพอเพียงแล้วครับ

ข้อ 9 ความจุ ผมได้ SSD 512 GB มา ซึ่งพอดีกับงานที่บรรจุอยู่ในเครื่องแล้ว ค่อนข้างแน่นเพราะเคยชินกับเครื่อง 750 GB ส่วนตัวแล้วยังคิดไม่ออกว่าคนที่ใช้เนื้อที่สองร้อยกว่า หรือน้อยกว่านี้จะบริหารพื้นที่อย่างไร

ข้อ 10 เรื่องสำคัญ คือพอร์ต USB-C

ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาครับ เพราะส่วนมากดีหมด เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องเล็ก ตามความเห็นส่วนตัว Apple พยายามนำผู้ใช้ไปหาอนาคต เห็นมาตั้งแต่มือถือไม่มีปุ่มของ iphone ตัวแรก (แต่ก็ยังมีปุ่ม Home) วันนี้แม้แต่ช่องเสียบหูฟังก็หายไปจาก iPhone 7 ได้ยินว่า iPhone 8 น่าจะไม่เหลือปุ่มอะไรและช่องอะไรอีก ขนาด sim ยังอาจไม่ต้องใส่ในอนาคต มือถือ 1 เครื่อง ไม่ต้องต่ออะไรอีกทั้งหูฟัง, สายชาร์ต, ช่องใส่ซิม ฯลฯ .....งั้นเรื่องพอร์ต USB-C ที่มันเหลืออยู่ใน Macbook 12" นี่ ก็คืออนาคตของพวกเรานั่นเอง ผมเห็นว่าเราก็ต้องปรับตัวเตรียมไว้เผื่ออนาคต ความท้าทายปัจจุบัน ก็ซื้อตัวต่อมาใช้ไปพลาง ๆ ก่อน วันหน้าเมื่อมันเปลี่ยนจริง ๆ คือทุกอย่างอยู่บน cloud หมด ไม่ต้องต่อเชื่อมอะไร เราก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปก่อนแล้ว


เล่าให้ฟังเคร่า ๆ ครับว่าระบบ "ไร้สาย" ที่มันไม่ต้องการการเชื่อมต่ออะไรเดี๋ยวนี้ เราทำอะไรได้บ้าง? (ใน Macbook 12" ทำได้หมดทุกข้อ)

  1. ส่งเก็บ และนำเข้าข้อมูล ด้วยระบบ cloud คือเก็บบนเมฆ (บนอินเตอร์เน็ต) มีให้บริการหลายราย เช่น iCloud ของ Apple, iDrive ของ Google และยังมีของไมโครซอฟท์ กับอีกหลาย ๆ ค่าย ทั้งฟรีและเสียเงิน (ไม่แพง) นอกจากนี้ยังมีระบบ Nas Storage คือการเก็บข้อมูลด้วย HD ใหญ่ ๆ ในบ้านหรือใน Office โดยสามารถส่งเก็บและนำเข้าข้อมูลโดยไม่ใช้สายได้ แม้ออกไปข้างนอกยังใช้ Internet ติดต่อกับ Nas ของเราได้ทั่วโลก เรื่องนี้เองที่ทำให้ Notebook หรือ Macbook ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่เก็บข้อมูลเยอะ ๆ ในตัวเอง บางเครื่องมีแค่ 64 หรือ 128 GB พอใส่แค่ OS กับ Software ก็พอแล้ว
  2. ในเครื่องเราสามารถสร้างระบบ wifi network ได้ในตัวเอง คือปล่อยสัญญาณไร้สายเพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องอื่น ๆ ใกล้ ๆ โดยไม่ต้องใช้สาย
  3. การเชื่อมกับลำโพง หรือหูฟัง ก็ใช้ระบบไร้สายคือบลูทูธ ได้ 
  4. การส่งสัญญาณภาพไปเปิดในทีวี หรือโปรเจ็คเตอร์ ฯลฯ ก็มีระบบ AirPlay Display เช่น Mirror หน้าจอไปเปิดในทีวี, มอร์นิเตอร์, โปรเจ็คเตอร์, iPad หรืออะไรต่าง ๆ ที่มันมารองรับเยอะแยะไปหมดแล้วเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องใช้สายให้เกะกะอีกต่อไป
  5. แม้แต่มีโทรศัพท์เรียกเข้า เราก็สามารถรับสายจาก Macbook ได้เลยครับเดี๋ยวนี้
  6. เอกสารต่าง ๆ ที่เราสร้าง หรือแก้ไข เช่นปฏิทิน, อีเมล์, รายชื่อโทรศัพท์, โน้ต, พรีเซ็นเตชั่น, เอกสาร, ตาราง, เขียนโค้ต ฯลฯ เราทำที่ไหนก็ได้ เมื่อไหรก็ได้ จากเครื่องไหนก็ได้ (ที่ตั้งค่า Account เดียวกัน) สมมติ ตอนเย็น ผมเขียนโน้ตบางอย่างไว้ใน Macbook แล้วเขียนไม่เสร็จ ตอนบ่าย ผมไปนั่งทานกาแฟ แต่ไม่ได้เอา Macbook ออกไปด้วย เอาแต่ iPad หรือ iPhone ไป ผมสามารถเอามันขึ้นมาเขียนโน้ตฉบับเดียวกันต่อได้เลย (สะดวกมาก ๆ) กับอีกหลาย ๆ เรื่องที่เราทำในเครื่องไหนก็ได้ อย่างการนัดหมาย ผมลงปฏิทินในโทรศัพท์ มันก็ update ใน ipad, กับ macbook ให้ด้วย เป็นต้น
  7. แม้แต่การสั่งพิมพ์เอกสารทางพริ้นเตอร์ ที่บ้านผมซื้อเครื่องพิมพ์แบบหลาย ๆ ฟังชั่นมา คือพิมพ์ได้, แสกนได้ และส่งแฟกซ์ได้ และมันต่อเข้า network ได้ด้วย งั้นผมจะนั่งทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม ทำเสร็จอยากพิมพ์ก็สั่งพิมพ์มันตรงนั้นได้เลย ไม่ต้องเอาเครื่องมาต่อสายให้เสียเวลา 
นี่เป็นตัวอย่างของการทำงานสมัยใหม่ ที่ตัดความยุ่งยากเรื่องสายต่อ กับ พอร์ตต่าง ๆ ออกไปเกือบหมด มันก็มีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังต้องใช้ Adapter แปลง USB-C เช่นการต่อกับโปรเจ็คเตอร์ที่ไม่มีระบบ wifi, ต่อรับข้อมูลจาก SD (แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมี sd แบบ wifi ในตัวแล้ว) หรือ external drive อะไรอย่างนี้

สรุป

คือมีความสุขมากกับการตัดสินใจถอย Macbook 12" มาใช้ แทนที่จะ Upgrade SSD เพราะง่าย ๆ คือ มันเป็นตัวใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด เบา, บาง, ไม่ร้อน, เร็ว, แบตทน ที่สำคัญ ควักออกมาจากกระเป๋า มันก็แอบเท่ห์ น่ากราบทีเดียว

แต่ไม่ให้ใครมากราบหรอกนะครับ แฮ่ ๆ