วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พ่อของแผ่นดิน

"ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙ 
วันพฤหัสบดี ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศ รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ( รัชกาลที่ ๙ ) ครองราชย์วันที่ ๙ มิถุนายน ปี ๒๔๘๙ เมื่อพระชนมายุ ๑๙ พรรษา เสด็จสวรรคต เวลา ๑๕:๕๒ น. ณ โรงบาลศิริราช พระชนมพรรษา ๘๙ ปี ทรงครองราชสมบัติได้ ๗๐ ปี"


ผมเฝ้าถามตัวเองมาหลายวันนับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ว่า ทำไมถึงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเกิดกับตัวเองมาก่อน เหมือนเศร้า เสียใจ .....น้ำตาไหลแบบห้ามตัวเองไม่ได้หลายครั้งที่ดูข่าวในทุกสื่อ เพียงแต่ไม่สะอื้น และไม่ได้ร้องไห้ออกมา

เสียใจที่แผ่นดินไทย คนไทย ต้องมีวันนี้?...... ก็ไม่น่าใช่ เพราะหลายปี หลายเดือน ที่ผ่านมา ก็บอกตัวเองว่าวันนี้ต้องมาถึง ยิ่งในสองสามวันก่อนหน้านั้น ก็มีเหตุต้องให้คิดว่า "คงใกล้เข้ามาแล้ว" แล้วก็จริง

เมื่อได้บอกไปกับเพื่อนๆ ว่า ไม่รู้เป็นอะไร อยากร้องไห้ตลอดเวลา เพื่อน ๆ ก็บอกว่า "เหมือนกัน"

ที่ผ่านมาหลายปี ผมถือว่าได้ฝึกฝนตนเองกับพระวัจนะของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่องความไม่แน่นอน แล้วก็แน่ใจว่า แม้แต่ตัวเองเมื่อถึงวันนั้น วันที่ต้องหายใจครั้งสุดท้าย ผมจะไปแบบยอมรับ และเชื่อว่าผมไปดีในอารมณ์ของคนที่ถูกฝึกมาแล้ว

ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และได้เห็นข้อความ (ที่ยกขึ้นมาบรรทัดแรกข้างบน) ก็จึงได้เริ่มเข้าใจ

"ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙ ....." 

จำความได้ก็ได้ทราบว่าเป็นประชาชนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์นี้ 

โตขึ้นมา...จนอายุป่านนี้ อารมณ์นี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน ได้เห็นประชาชนเรียกพระองค์ว่า "พ่อ" ก็รู้สึกเช่นกันว่าท่านคือ "พ่อ" ไม่ใช่พ่อของเราคนเดียว แต่เป็น "พ่อของแผ่นดิน"

ดังเป็นที่ทราบว่า ตลอด 70 ปีแห่งการ "ครองแผ่นดินโดยธรรม" ของพระองค์ท่าน ได้ก่อเกิดคุณประโยชน์ทั้งต่อแผ่นดิน และราษฎร อย่างใหญ่หลวง

ไม่ว่าจะยังไง คนไทย ก็มี "พ่อ" ท่านหนึ่งที่คอยดูแลมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ...... นานจน กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต 60 กว่าล้านชีวิต

วันนี้ พ่อได้ปฏิบัติภาระกิจของพ่อเสร็จสิ้นแล้ว พ่อกลับไปสู่ดินแดนของท่าน บนสรวงสวรรค์ ที่ท่านอยู่มาตลอดเพื่อบำเพ็ญบารมีของท่านต่อไป

คิดดังนี้แล้ว ผมถึงค่อยรู้ว่า ความรู้สึกที่ผ่านมา มันก็คือการ "สูญเสียส่วนหนึ่ง" ของชีวิตไป และก็คงจะเป็นความรู้สึกเดียวกันกับบรรดา "ลูกทั้งแผ่นดิน" ของพ่อเวลานี้ 

เมื่อได้รู้แล้ว ก็คงต้องเปลี่ยนให้กลับมาเป็นความรู้สึกปลื้มปิติแทนการเสียใจ ปิติที่พ่อเลือกแผ่นดินไทย นอกจากนั้นแล้ว ยังเลือกช่วงเวลา 70 ปี เป็นช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินของท่าน นานถึง 60 กว่าปี 

สิ่งที่เราจะต้องทำ เพื่อเป็นการตอนแทนพระคุณ ตอบแทนความเหนื่อยยากตลอดชีวิตของพ่อ ก็คือปฏิบัติตามคำสอนของพ่อ และต้องทำให้สุด แม้จะเทียบไม่ได้กับหนึ่งในล้าน ของความเหนื่อยยากของพ่อที่ได้ทำให้กับลูก ๆ ของท่าน .....ก็ยังดี

ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า นายธีรวัจน์ ศิริวรรณกุลธร
และครอบครัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น